- Home I หน้าแรก l
- ข่าว และ บทความ
- ข่าว l News
- บทความ l Articles
- บทวิเคราะห์
- บทวิเคราะห์สถานการณ์ โลก
- บทความศาสนา
- ครรลองอิสลาม
- ศาสนบัญญัติ
- ศาสดาและวงศ์วานผู้ทรงเกียรติ
- เส้นทางสู่อิสลาม
- กุรอานและฮะดีษ
- หนังสือ-วารสาร
- นะญุลบาลาเฆาะฮ์
ก่อนการตื่นตัวในยุคประจักษ์แจ้งของยุโรป เมื่อศตวรรษที่ 16 ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ซึ่งถูกครอบงำโดยคริสต์จักรทำให้ชาวยุโรปเชื่อว่า …
โลกเป็นศูนย์กลางของระบบดาราจักร (Solar System) และดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก ต่อมานิโคลัส โคเปอร์นิคัส (ค.ศ. 1473-1543) พิสูจน์ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบดาราจักร โลกกับดาวเคราะห์อื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ และได้รับการยืนยันจากการใช้กล้องโทรทัศน์ส่องโดยกาลิเลโอ กาลิเลอี (ค.ศ. 1564-1642) นักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ชาวอิตาลี ซึ่งตรงกับแนวคิดของนักวิชาการมุสลิมหลายคน เช่น อัลบิรูนี (ค.ศ. 973-1048) นักดาราศาสตร์มุสลิมในต้นศตวรรษที่ 11
คริสต์จักรยังบอกและบังคับให้ชาวคริสต์เชื่อว่า วัตถุที่มีน้ำหนักมากกว่า จะตกลงสู่พื้นเร็วกว่าวัตถุที่มีน้ำหนักเบากว่า จนกระทั่งกาลิเลโออีกเช่นกันที่พิสูจน์โดยการปล่อยขนนกกับลูกเหล็กลงจากหอเอนเมืองปิซ่าในอิตาลี ซึ่งผลลัพธ์คือทั้งขนนกและลูกเหล็กตกลงสู่พื้นพร้อมกัน เป็นการพิสูจน์เรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก
การที่ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบดาราจักรและโลกกับดาวเคราะห์อื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์คือ สัจธรรมความจริง ซึ่งเป็นความจริงมาตั้งแต่เริ่มมีระบบดาราจักร แม้ในขณะที่มนุษย์มีความเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบดาราจักรและดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก สัจธรรมความจริงก็ยังเป็นว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบดาราจักรและโลกกับดาวเคราะห์อื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ และการค้นพบของโคเปอร์นิคัสและกาลิเลโอ ไม่ใช่เป็นการสร้างสัจธรรมความจริงใหม่ขึ้นมา แต่เป็นเพียงการค้นพบและยืนยันสัจธรรมความจริงที่มีอยู่แล้วเท่านั้น และสัจธรรมความจริงดังกล่าวก็จะยืนยงไปจนนิจนิรันดร์ เพราะนั่นคือ “สัจธรรมความจริง”
และเป็นลักษณะเดียวกันสำหรับกรณี การพิสูจน์เรื่องแรงโน้มถ่วงของโลกว่า วัตถุที่มีน้ำหนักเบากว่ากับมากกว่า จะตกลงพื้นพร้อมกัน ซึ่งคัดค้านคำกล่าวของคริสต์จักรในขณะนั้น แต่ในที่สุดคริสต์จักรก็ต้องยอมรับเพราะนั่นคือ “สัจธรรมความจริง”
ความเชื่อและการพิสูจน์สัจธรรมความจริงทั้งสองกรณีดังกล่าว ทำให้ทั้งโคเปอร์นิคัสและกาลิเลโอถูกกล่าวหาจากคริสต์จักรว่า เป็นพวกนอกศาสนา กรณีของกาลิเลโอหนักกว่า ถึงขั้นถูกจับติดคุกเพื่อพิจารณาคดีในศาล แต่สามารถพิสูจน์ความจริงได้ จึงถูกปล่อยตัว
นั่นเป็นกรณีของข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์!
ในปัจจุบันอิสลามถูกกล่าวหาว่า เป็นศาสนาแห่งความรุนแรง สุดโต่ง ลิดรอนสิทธิและกดขี่สตรี รวมทั้งข้อกล่าวหาอื่นๆ อีกมากมาย ถึงขั้นมีการสร้างหลักฐานต่างๆ เพื่อยืนยันว่า อิสลามเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการสร้าง “ไอซิส” ขึ้นมาเป็น presenter แต่สัจธรรมความจริงก็คือสัจธรรมความจริง อิสลามเคยเป็นศาสนาแห่งสันติ ปลดปล่อยมนุษย์จากความเป็นทาสของทุกสิ่ง เพื่อการเป็นบ่าวของพระเจ้าองค์เดียวและ ฯลฯ อย่างไร ปัจจุบันและอนาคตอิสลามก็จะเป็นเช่นนั้น
ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ มีคนจำนวนมากมายมหาศาลทั่วโลกเดินทางเข้าสู่อิสลามทุกปี จนกระทั่งอิสลามกลายเป็นศาสนาที่มีอัตราการเจริญเติบโตมากที่สุดในโลกคือประมาณมากกว่า 200%
ในอิสลามเองก็มีการกล่าวหาโจมตีระหว่างสำนักคิด (มัซฮับ) ซุนนีกับชีอะฮ์ ซึ่งฝ่ายชีอะฮ์จะเป็นฝ่ายถูกโจมตี แต่ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจก่อนว่า ผู้ที่โจมตีชีอะฮ์ไม่ใช่ซุนนีที่แท้จริง แต่อาศัยผ้าคลุมซุนนีอยู่ กลุ่มที่โจมตีชีอะฮ์อย่างรุนแรงนี้ อาจจะเรียกให้เข้าใจง่ายขึ้นว่าเป็นกลุ่มซุนนะฮ์ (ซึ่งจากพฤติกรรมก็ไม่ใช่กลุ่มซุนนะฮ์ที่แท้จริง) หรืออีกชื่อหนึ่งคือวะฮาบีหรือสะลาฟี ในบางกาละและเทศะ
ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจตรงกันว่า ในที่นี้มิได้กล่าวหาซุนนีที่เป็นซุนนีจริงๆ (เช่น กลุ่มอะชาอิเราะฮ์/ มัซฮับทั้งสี่ และกลุ่มฏอรีเกาะฮ์ ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ชีอะฮ์บ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงถึงพริกถึงขิงเท่ากลุ่มวะฮาบีและสะลาฟี)
ประเด็นที่ต้องการจะกล่าวถึงก็คือ การโจมตีชีอะฮ์จะมีอยู่ไม่กี่ประเด็น ที่สำคัญและเป็นประเด็นหลักคือ “ชีอะฮ์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอิสลาม” แต่เป็นอีกลัทธิศาสนาหนึ่งต่างหาก ที่อาศัยผ้าคลุมอิสลามอยู่ ชีอะฮ์มีหลักความเชื่อ (อะดีดะฮ์) และหลักปฏิบัติ (อิบาดะฮ์) เป็นของตนเอง ต้องขจัดหรือตัดชีอะฮ์ออกไปจากการเป็นส่วนหนึ่งของอิสลามหรือทำลายให้สิ้นซากไปเลย ประมาณนั้น
ก่อนที่จะกล่าวต่อไป ขอทำความเข้าใจวลีที่ใช้สองวลีก่อนคือ ... เรากล่าวว่า …
วะฮาบี “อาศัยผ้าคลุมซุนนี” อยู่ แสดงว่าวะฮาบียังอยู่ในอิสลาม แต่ไม่ใช่ซุนนี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของนักวิชาการศาสนาของโลกซุนนี (นำโดยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ซึ่งประชุมกันที่ประเทศเชเชนเมื่อปี พ.ศ. 2559)
แต่การที่ฝ่ายโจมตีชีอะฮ์กล่าวว่า ... ชีอะฮ์ “อาศัยผ้าคลุมอิสลาม” อยู่นั้น หมายถึงชีอะฮ์เป็นพวกนอกศาสนาอิสลาม คือไม่ใช่มุสลิม ... ขอให้เข้าใจประเด็นตามนี้ก่อน
ทีนี้ในทางตรรกะคือ ชีอะฮ์จะเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิมนั้น เป็นสัจธรรมความจริงมาตั้งแต่เริ่มมีความเห็นต่างกันระหว่างมุสลิมสองกลุ่ม ซึ่งเป็นเวลากว่าพันปีมาแล้ว
ถ้าตามสัจธรรมความจริง “ชีอะฮ์ไม่ใช่มุสลิม” ไม่ว่าชีอะฮ์จะพยายามบอกว่าตนเองเป็นมุสลิมอย่างไร หาเหตุผลมาประกอบมากเพียงใด ชีอะฮ์ก็ไม่ใช่มุสลิมอยู่นั่นเอง
ถ้าโดยสัจธรรมความจริง ในกรณี “ชีอะฮ์เป็นมุสลิม” ไม่ว่ากลุ่มที่โจมตีชีอะฮ์จะกล่าวหาชีอะฮ์ว่าไม่ใช่มุสลิม พร้อมกับยกเหตุผลต่างๆ เพื่อยืนยันว่าชีอะฮ์ไม่ใช่มุสลิม สัจธรรมความจริงก็ยังเป็นเช่นเดิมว่า “ชีอะฮ์เป็นมุสลิม”
ไม่ว่ากลุ่มที่โจมตีชีอะฮ์จะพยายามจัดงานบรรยาย อภิปราย สัมมนา เข้าไปจัดรายการในชมรมนักศึกษามุสลิมตามสถานศึกษาอุดมศึกษาและโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม จัดรายการโทรทัศน์ จัดทำสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือ วีดีทัศน์และอื่นๆ มากมายจิปาถะ
ด้วยชื่อรายการที่สุดหวือหวาทะลุโลก เช่น แฉชีอะฮ์ ฉีกหน้ากากชีอะฮ์ ขุดโคตรชีอะฮ์ ชีอะฮ์มหาภัย ฯลฯ (ถามจริงๆ – ชื่อหัวข้อเหล่านี้คือชื่อของงานทางวิชาการเพื่อปัญญาชนหรือ?) เพื่อพยายามจะบอกว่า “ชีอะฮ์ไม่ใช่มุสลิม” นอกจากนี้ก็ยังโจมตีสายซุนนีคณะเก่าและซูฟีด้วยในบางโอกาส แต่ไม่บ่อยนัก เพราะต้องการหาแนวร่วมโจมตีชีอะฮ์
กระนั้นถ้าชีอะฮ์คือมุสลิม ชีอะฮ์ก็ยังเป็นมุสลิมวันยังค่ำ และจะเป็นมุสลิมไปจนนิจนิรันดร์ และอาจจะจนกระทั่งได้เห็นสปอนเซอร์รายใหญ่ที่จ่ายงบประมาณเพื่อโจมตีชีอะฮ์ว่าไม่ใช่มุสลิมอย่างซาอุดิอาระเบียล่มสลายไปก่อนก็เป็นได้!!
นอกจากนี้ฝ่ายชีอะฮ์ยังระมัดระวังเรื่องเอกภาพระหว่างมุสลิมด้วยกัน จึงไม่มีการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงจนเลยขอบเขต
2.1 ชีอะฮ์ไม่ได้ศรัทธาในเอกภาพของอัลลอฮ์ (ซบ.)
2.2 ชีอะฮ์ไม่ได้ศรัทธาในความเป็นศาสดาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และศาสดาท่านอื่นๆ ของอิสลามทั้งหมด
2.3 ชีอะฮ์มีกุรอานเล่มอื่นที่ไม่เหมือนกับฉบับของมุสลิมทั่วไป
2.4 ชีอะฮ์ไม่ทำอิบาดะฮ์ เช่น ละหมาด ถือศีลอด จ่ายซะกาตและไปทำฮัจย์ (ทุกปียังมีชีอะฮ์ไปทำฮัจย์หลายแสนคน ถึงแม้ปัจจุบันอิหร่านกับซาอุดิอาระเบียจะมีปัญหากัน ทางซาอุดิอาระเบียก็ยังติดต่อเจรจากับอิหร่านเพื่อทำข้อตกลงให้ชาวอิหร่านเดินทางไปทำฮัจย์ได้ตามปกติ)
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การโจมตีชีอะฮ์ว่าไม่ใช่มุสลิม ที่กระทำกันอย่างอึกทึกครึกโครมเป็นล่ำเป็นสันอยู่ในขณะนี้ ไม่มีผลกระทบกับความเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิมของชีอะฮ์แต่ประการใดทั้งสิ้น
ถ้าชีอะฮ์ไม่ใช่มุสลิม ก็ไม่ใช่มุสลิมมาตั้งแต่อดีต ไม่ใช่ไม่ได้เป็นมุสลิมเพราะถูกโจมตีในขณะนี้ และไม่ต้องกังวล- ชีอะฮ์จะไม่ใช่มุสลิมตลอดต่อไปในอนาคต
ถ้าชีอะฮ์เป็นมุสลิม ขณะนี้ชีอะฮ์ก็ยังเป็นมุสลิมอยู่ และเป็นมุสลิมมาตั้งแต่ครั้งอดีต และไม่สามารถกลายเป็นไม่ใช่มุสลิมเพราะการโจมตี กล่าวหาว่าเท็จจากกลุ่มที่กำลังดำเนินการอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายขณะนี้ และชีอะฮ์ก็จะยังคงเป็นมุสลิมตลอดไปในอนาคต
อนึ่ง กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวต่อต้านชีอะฮ์อย่างจริงจังสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ
ทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกว่า ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ตามสัจธรรมความจริงของมันเถิด! ใครใคร่ศึกษาแนวทางใด ก็จงปล่อยแต่ละคนไป ไม่จำเป็นต้องโจมตีห้ำหั่นกันถึงขั้นนี้ สังคมมุสลิมจะได้มีความสงบสันติ อยู่ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน ใครอยากถกอยากเถียงทางวิชาการก็จัดกลุ่มหาสถานที่พูดคุยกันอย่างฉันท์มิตรในมิติและบริบทของวิชาการ ครั้งที่หนึ่งยังไม่เห็นพ้องต้องกันเป็นฉันทามติ ก็ว่ากันต่อในครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ... จนกว่าจะยุติได้
สังคมส่วนรวมจะได้มีเวลาแก้ไขปัญหาที่เป็นประเด็นร่วมกัน และพัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้าสู่อิสลามที่แท้จริงต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติและโลกที่เราอาศัยอยู่
แต่ถ้าความจำเป็นทางการเงินบีบบังคับให้ต้องกระทำเช่นนั้น ก็คงเอวังด้วยประการฉะนี้!!!